(( Touch Property Company Limited))

บทวิเคราะห์ Property Fund จัดพอร์ตรับสถานการณ์ส่งท้ายปี คงต้องขอผิดคำสัญญาจากฉบับที่แล้วเล็กน้อยที่บอกเอาไว้ว่าในฉบับนี้จะมาเจาะลึกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องในแต่ละกองทุน เนื่องจากเร็วๆนี้ได้มีโอกาสไปฟังการสัมมนาพิเศษจากสมาคมนักวางแผนการเงินไทยเกี่ยวกับกลยุทธ์การวางแผนการลงทุนในช่วงสถานการณ์ผันผวนที่รับกับสภาวการณ์บ้านเมืองและการลงทุนในช่วงส่งท้ายปลายปีนี้พอดี และคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนทั้งในกองทุนอสังหาริมทรัพย์และการจัดพอร์ตกระจายการลงทุนไปยังตราสารอื่นๆในช่วงนี้ โดย พรลพรรธ สมาคมนักวางแผนการเงินไทยแนะนำว่า การจัดพอร์ตการลงทุนที่ดี นักลงทุนควรกระจายการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ เงินฝาก อสังหาริมทรัพย์ (ซึ่งในที่นี้รวมถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ด้วย) สินค้าโภคภัณฑ์ หรือวัตถุมีค่า โดยควรเน้นกระจายในหลายสินทรัพย์ที่มีความเข้าใจ การจัดพอร์ตการลงทุนเบื้องต้นจะมีระยะเวลาประมาณ 1 ปี เมื่อครบกำหนดต้องสามารถนำเงินออกมาได้มากกว่า 85เปอร์เซ็นต์ และผลตอบแทนที่ได้ต้องไม่ติดลบ หรือถ้าลงทุนหุ้นในกรณีเลวร้ายสุดสามารถขาดทุนไม่เกิน 25เปอร์เซ็นต์ พร้อมกับหากได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจะดี สำหรับการวางแผนการลงทุนในช่วงนี้ นักลงทุนควรแบ่งพอร์ตการลงทุน 3 พอร์ตใหญ่เป็นระยะสั้นประมาณ 20-30เปอร์เซ็นต์ ระยะกลาง 30-50เปอร์เซ็นต์ และระยะยาว 20-40เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งอีกพอร์ตที่ไว้เล่นเก็งกำไรหรือหาประสบการณ์ เช่น หุ้นปั่น และตราสารใหม่ๆ อย่างฟิวเจอร์ส หรือ ออปชั่นในตลาดอนุพันธ์ แต่ไม่ควรเกิน 5เปอร์เซ็นต์เพราะโอกาสขาดทุนสูง เริ่มจากพอร์ตระยะสั้นที่มีระยะเวลาประมาณ 1 ปี ขอย้ำว่า 1 ปีไม่ใช่หลักเดือน เพราะปัจจุบันมีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจเรื่องระยะเวลาการลงทุนคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง โดยเฉพาะในช่วงตลาดหุ้นขาลงอย่างปัจจุบันที่มีทีท่าจะใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวนาน ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมเงินสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายประจำวันด้วย การลงทุนในระยะสั้นนี้เป็นการลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนค่อนข้างแน่นอน โดยมุมมองตลาดของสมาคมฯ ขณะนี้ต่อตราสารหนี้ต่างประเทศในระยะเวลา 1 ปีเป็นบวก แต่หุ้นในประเทศเป็นลบ พร้อมประมาณการผลตอบแทนระยะเวลา 1 ปีต่ำสุดและสูงสุดไว้ เช่น เงินฝาก 1เปอร์เซ็นต์ ตราสารหนี้ 1 ปีอยู่ที่ 3.25-3.50เปอร์เซ็นต์ พันธบัตร 10 ปีอยู่ที่ -5ถึง 6เปอร์เซ็นต์ ทองคำอยู่ที่ -10ถึง 10เปอร์เซ็นต์ หุ้นต่างประเทศ -15ถึง 15เปอร์เซ็นต์ ส่วนพอร์ตระยะกลางจะอยู่ที่ระยะเวลาประมาณ 3-5 ปี ต้องการผลตอบแทนพอประมาณ และเป็นการจัดพอร์ตเพื่อเตรียมเงินใช้จ่ายก้อนใหญ่ เช่น แต่งงาน มีลูก หรือท่องเที่ยว โดยมีมุมมองตลาดเป็นบวกกับหุ้นในประเทศและหุ้นต่างประเทศมากกว่าตราสารหนี้ในประเทศ สำหรับประมาณการสูงสุดและต่ำสุดของเงินฝากยังอยู่ที่ 1เปอร์เซ็นต์ ทั้งสูงสุดและต่ำสุด ตราสารหนี้ 1 ปีอยู่ที่ 2.5-3.5เปอร์เซ็นต์ พันธบัตรรัฐบาลระยะเวลา 10 ปีที่ 3.00-4.50เปอร์เซ็นต์ ทองคำ -5 ถึง 7เปอร์เซ็นต์ อสังหาริมทรัพย์ 5-10เปอร์เซ็นต์ หุ้นในประเทศ -5 ถึง 15เปอร์เซ็นต์ กองหุ้นต่างประเทศ -5 ถึง 15เปอร์เซ็นต์ และกองทุนหุ้นที่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (Emerging market) อยู่ที่ -5 ถึง 18เปอร์เซ็นต์ ด้านพอร์ตการลงทุนระยะยาวคือระยะเวลาลงทุน 7 ปีขึ้นไป ซึ่งควรให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ โดยเป็นการวางแผนทางการเงินเพื่อเตรียมเงินในระยะยาว เช่น การเกษียณอายุ การเตรียมเงินค่าเรียนมหาวิทยาลัยให้ลูก เป็นต้น ซึ่งสมาคมฯ มีมุมมองเป็นบวกอย่างมากกับการลงทุนหุ้นในประเทศและหุ้นในต่างประเทศ โดยตั้งผลตอบแทนคร่าวๆในเงินฝากที่ 1-1.5เปอร์เซ็นต์ ตราสารหนี้ 1 ปีที่ 2.5-3เปอร์เซ็นต์ พันธบัตรระยะเวลา 10 ปีประมาณ 4-4.5เปอร์เซ็นต์ ทองคำ -2 ถึง 7เปอร์เซ็นต์ อสังหาริมทรัพย์ 7-12เปอร์เซ็นต์ กองทุนหุ้นในประเทศ -2 ถึง 12เปอร์เซ็นต์ กองทุนหุ้นต่างประเทศ –2 ถึง 10เปอร์เซ็นต์ กองทุนหุ้น Emerging Market 15เปอร์เซ็นต์ โดยสรุปแล้วนักลงทุนควรแบ่งเงินเป็นส่วนตามเป้าหมายทางการเงินตามระยะเวลา และควรยอมรับความผันผวนในระยะสั้นเพื่อผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว พร้อมกับควรกระจายและจัดสัดส่วนการลงทุน อย่างไรก็ตาม การจัดพอร์ตการลงทุนเบื้องต้นอาจไม่เหมาะสำหรับคนทุกคน เนื่องจากความสามารถในการรับความเสี่ยงและความต้องการผลตอบแทนของแต่ละคนไม่เท่ากัน... และกรุณาอ่านฉลากการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง! สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดาวน์โหลดข้อมูลและตารางทางการลงทุนได้ทาง http://www.tfpa.or.th เกี่ยวกับผู้เขียน: พรลพรรธ เป็นนักข่าวในสายตลาดหลักทรัพย์และกองทุนรวมมากว่า 5 ปี ปัจจุบันเป็นนักเขียนและคอลัมนิสต์ประจำกองบรรณาธิการนิตยสารเกี่ยวกับการเงินและการลงทุน ผู้อ่านสามารถติดต่อกับผู้เขียนได้ที่ [email protected]